- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 16-22 ตุลาคม 2563
ข้าว
1) สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1)แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2)โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 –
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิต
ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม -
30 เมษายน 2563
4)โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุง
คุณภาพข้าวปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพ
อยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1)กลุ่มเป้าหมายเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี2562กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก
ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ11,747บาท ราคาลดลงจากตันละ 12,194 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.67
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น15%สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ8,588บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,168 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 6.33
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ29,550บาท ราคาลดลงจากตันละ 29,675 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.42
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ12,850บาทราคาลดลงจากตันละ 13,275 บาทในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 3.20
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่)สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ912ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,228บาท/ตัน)ราคาลดลงจากตันละ 914ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,238บาท/ตัน)ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22และลดลงในรูปเงินบาทตันละ10บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ463ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,331บาท/ตัน)ราคาลดลงจากตันละ 464ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,335 บาท/ตัน)ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ4 บาท
ข้าวนึ่ง 5%สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ466ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,424บาท/ตัน)ราคาลดลงจากตันละ 473ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,613 บาท/ตัน)ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.48 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ189บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ30.9522 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2563/64ณ เดือนตุลาคม ผลผลิต501.473ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 495.782 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2562/63 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.15
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลกกระทรวงเกษตรสหรัฐฯได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2563/64 ณเดือนตุลาคม 2563 มีปริมาณผลผลิต 501.473ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63ร้อยละ 1.15การใช้ในประเทศ 499.440ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63ร้อยละ 0.85 การส่งออก/นำเข้า 44.223 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก
ปี 2562/63 ร้อยละ 2.84 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 179.146 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63ร้อยละ 1.15
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย กัมพูชา กายานา อินเดีย ปากีสถานแอฟริกาใต้ และไทย ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล เมียนมา ปารากวัย และเวียดนาม
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน คาเมรูน ไอเวอรี่โคสต์เอธิโอเปีย สหภาพยุโรปกานา กินี อิหร่าน อิรัก เคนย่า ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ เซเนกัล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เยเมน และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ บราซิลจีน เม็กซิโก
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ บังกลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และไทย
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ฟิลิปปินส์
กระทรวงเกษตร (the Department of Agriculture; DA) รายงานว่า มีใบรับรองสุขอนามัย (sanitary and phytosanitary import clearance; SPS-IC) จำนวน 2,071 ใบ ซึ่งเอกชนได้มีการยื่นขออนุญาตนำเข้าข้าว
ประมาณ 1.879 ล้านตัน ในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2563ได้หมดอายุลงแล้วหลังจากที่ไม่สามารถนำเข้าข้าวได้ภายในระยะเวลา 60 วัน ตามกำหนด ขณะที่สำนักงานอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry; BPI) ยืนยันว่ามีใบรับรองที่ไม่ได้ใช้ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมก็หมดอายุลงเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรระบุว่า ในช่วงไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะมีการนำเข้าข้าวประมาณ 200,000-300,000 ตัน โดยเป็นการนำเข้าในช่วงเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้เนื่องจากรัฐบาลได้ขอให้ผู้นำเข้าข้าวระงับการนำเข้าข้าวชั่วคราวในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เนื่องจากเป็นช่วงที่กำลังมีการเก็บเกี่ยวข้าวในประเทศและเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะราคาข้าวตกต่ำ
ทั้งนี้ในเดือนกันยายน 2563สำนักงานอุตสาหกรรมพืชได้ออกใบรับรองสุขอนามัย (SPS-IC) จำนวน 14,463 ใบ ให้แก่ผู้ขออนุญาตนำเข้าข้าวในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2563ผู้นำเข้าเอกชนจำนวน 190 ราย
ได้นำเข้าข้าวแล้วประมาณ 1.817 ล้านตัน จากประเทศเวียดนาม เมียนมาไทย จีน อินเดีย ปากีสถาน กัมพูชา ไต้หวัน อิตาลีและสเปน โดยนำเข้าจากประเทศเวียดนามมากที่สุดที่ประมาณ 1.583 ล้านตัน มีผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ เช่น บริษัทPuregold Price Club Inc ซึ่งนำเข้าประมาณ 65,729 ตัน และบริษัท Davao San Ei Trading Inc. นำเข้าประมาณ 64,636 ตัน
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
อินเดีย
ภาวะราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาค่อนข้างทรงตัวเนื่องจากผู้ซื้อชะลอการซื้อข้าวเพราะเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาได้นำเข้าข้าวจำนวนมากแล้วทำให้ยังคงมีสต็อกข้าวเพียงพอ โดยข้าวนึ่ง 5% ราคาอยู่ที่ตันละ 376-382 ดอลลาร์สหรัฐฯเท่ากับเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่มีรายงานว่า พื้นที่เพาะปลูกข้าวทางภาคใต้ของประเทศและแถบชายฝั่งตอนใต้
ได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนักจนสร้างความเสียหายให้แก่ผลผลิตข้าวบางส่วนขณะเดียวกันก็ทำให้
การเก็บเกี่ยวข้าวต้องล่าช้าออกไปและอาจจะทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อยกว่าปกติ
สำนักงานสถิติการค้า (the Directorate General of Commercial Intelligence and Statistics; DGCIS) รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2563อินเดียส่งออกข้าวประมาณ 1.284 ล้านตัน (ประกอบด้วยข้าวบาสมาติ 353,763 ตันและข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ930,027 ตัน) เพิ่มขึ้นร้อยละ87 เมื่อเทียบกับจำนวน 649,253 ตันเมื่อช่วงเดียวกันของ
ปีที่ผ่านมา แต่ลดลงร้อยละ12 เมื่อเทียบกับจำนวน 1.467 ล้านตัน (ประกอบด้วยข้าวบาสมาติ 396,178 ตัน และข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ1.07 ล้านตัน) ที่ส่งออกได้ในเดือนกรกฎาคม 2563ส่วนมูลค่าส่งออกในเดือนสิงหาคม 2563อยู่ที่ประมาณ 662.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประกอบด้วยข้าวบาสมาติ310 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ352.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
สำหรับในช่วง 5 เดือนแรก (เมษายน-สิงหาคม 2563) ของปีงบประมาณ 2563/64 (เมษายน 2563-มีนาคม2564)อินเดียส่งออกข้าวประมาณ 5.98 ล้านตัน (ประกอบด้วยข้าวบาสมาติ2.03 ล้านตัน และข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ
3.94 ล้านตัน) เพิ่มขึ้นร้อยละ57 เมื่อเทียบกับจำนวน 3.81 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ประกอบด้วย
ข้าวบาสมาติ1.67 ล้านตัน และข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ2.14 ล้านตัน) โดยข้าวบาสมาติส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ22
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติเพิ่มขึ้นร้อยละ84 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีที่ผ่านมา ขณะที่มูลค่าส่งออกในช่วง 5 เดือนแรกอยู่ที่ประมาณ 3.344 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประกอบด้วยข้าวบาสมาติ1.809 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ1.535 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
ทั้งนี้การส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติเพิ่มขึ้นจากการที่ความต้องการข้าวจากต่างประเทศมีมากขึ้นขณะที่ราคาข้าวของอินเดียต่ำกว่าประเทศคู่แข่งมาก
ด้านกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า การส่งออกข้าวของอินเดียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว
แม้จะมีการหยุดชะงักไปบ้างในช่วงเดือนเมษายน 2563จากภาวะการระบาดของเชื้อ COVID-19 จนรัฐบาลต้องออกมาตรการ Lockdown ทั่วประเทศ โดยคาดว่าอินเดียจะยังคงเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ30 ของการค้าข้าวทั้งโลก ซึ่งตลอดทั้งปี 2563คาดว่าอินเดียจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 12.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ25 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากอินเดียมีสต็อกข้าวเพียงพอจึงไม่มีข้อจำกัดในการส่งออกในปีนี้
ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ส่งออกรายอื่น
สำหรับปี 2564คาดว่าอินเดียจะมีผลผลิตข้าวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับประมาณ 120 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นของผลผลิตข้าวเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยขณะนี้อยู่ในช่วงการเก็บเกี่ยวข้าวในฤดูหลัก Krarif crop และคาดว่าจะได้ผลผลิตที่ดีเนื่องจากในปี 2563 อินเดียมีฝนตกในระดับที่ดีเยี่ยมในพื้นที่แคว้นต่างๆที่เป็นแหล่งปลูกข้าว ทั้งนี้รัฐบาลอินเดียคาดว่าจะจัดหาข้าวได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การบริโภคในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป
ถึงแม้ว่าความต้องการข้าวในประเทศจะยังคงมีเพิ่มขึ้น แต่การส่งออกข้าวในปี 2564คาดว่าจะปรับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ระดับประมาณ 12.5 ล้านตัน เนื่องจากอุปทานข้าวที่มีเพียงพอ ทำให้ข้าวอินเดียยังคงสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1)แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2)โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว | ราคาประกันรายได้ | ครัวเรือนละไม่เกิน |
(บาท/ตัน) | (ตัน) | |
ข้าวเปลือกหอมมะลิ | 15,000 | 14 |
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ | 14,000 | 16 |
ข้าวเปลือกเจ้า | 10,000 | 30 |
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี | 11,000 | 25 |
ข้าวเปลือกเหนียว | 12,000 | 16 |
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 –
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิต
ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม -
30 เมษายน 2563
4)โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุง
คุณภาพข้าวปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพ
อยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1)กลุ่มเป้าหมายเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี2562กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก
ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ11,747บาท ราคาลดลงจากตันละ 12,194 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.67
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น15%สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ8,588บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,168 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 6.33
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ29,550บาท ราคาลดลงจากตันละ 29,675 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.42
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ12,850บาทราคาลดลงจากตันละ 13,275 บาทในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 3.20
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่)สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ912ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,228บาท/ตัน)ราคาลดลงจากตันละ 914ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,238บาท/ตัน)ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22และลดลงในรูปเงินบาทตันละ10บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ463ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,331บาท/ตัน)ราคาลดลงจากตันละ 464ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,335 บาท/ตัน)ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ4 บาท
ข้าวนึ่ง 5%สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ466ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,424บาท/ตัน)ราคาลดลงจากตันละ 473ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,613 บาท/ตัน)ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.48 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ189บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ30.9522 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2563/64ณ เดือนตุลาคม ผลผลิต501.473ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 495.782 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2562/63 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.15
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลกกระทรวงเกษตรสหรัฐฯได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2563/64 ณเดือนตุลาคม 2563 มีปริมาณผลผลิต 501.473ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63ร้อยละ 1.15การใช้ในประเทศ 499.440ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63ร้อยละ 0.85 การส่งออก/นำเข้า 44.223 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก
ปี 2562/63 ร้อยละ 2.84 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 179.146 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63ร้อยละ 1.15
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย กัมพูชา กายานา อินเดีย ปากีสถานแอฟริกาใต้ และไทย ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล เมียนมา ปารากวัย และเวียดนาม
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน คาเมรูน ไอเวอรี่โคสต์เอธิโอเปีย สหภาพยุโรปกานา กินี อิหร่าน อิรัก เคนย่า ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ เซเนกัล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เยเมน และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ บราซิลจีน เม็กซิโก
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ บังกลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และไทย
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ฟิลิปปินส์
กระทรวงเกษตร (the Department of Agriculture; DA) รายงานว่า มีใบรับรองสุขอนามัย (sanitary and phytosanitary import clearance; SPS-IC) จำนวน 2,071 ใบ ซึ่งเอกชนได้มีการยื่นขออนุญาตนำเข้าข้าว
ประมาณ 1.879 ล้านตัน ในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2563ได้หมดอายุลงแล้วหลังจากที่ไม่สามารถนำเข้าข้าวได้ภายในระยะเวลา 60 วัน ตามกำหนด ขณะที่สำนักงานอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry; BPI) ยืนยันว่ามีใบรับรองที่ไม่ได้ใช้ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมก็หมดอายุลงเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรระบุว่า ในช่วงไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะมีการนำเข้าข้าวประมาณ 200,000-300,000 ตัน โดยเป็นการนำเข้าในช่วงเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้เนื่องจากรัฐบาลได้ขอให้ผู้นำเข้าข้าวระงับการนำเข้าข้าวชั่วคราวในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เนื่องจากเป็นช่วงที่กำลังมีการเก็บเกี่ยวข้าวในประเทศและเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะราคาข้าวตกต่ำ
ทั้งนี้ในเดือนกันยายน 2563สำนักงานอุตสาหกรรมพืชได้ออกใบรับรองสุขอนามัย (SPS-IC) จำนวน 14,463 ใบ ให้แก่ผู้ขออนุญาตนำเข้าข้าวในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2563ผู้นำเข้าเอกชนจำนวน 190 ราย
ได้นำเข้าข้าวแล้วประมาณ 1.817 ล้านตัน จากประเทศเวียดนาม เมียนมาไทย จีน อินเดีย ปากีสถาน กัมพูชา ไต้หวัน อิตาลีและสเปน โดยนำเข้าจากประเทศเวียดนามมากที่สุดที่ประมาณ 1.583 ล้านตัน มีผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ เช่น บริษัทPuregold Price Club Inc ซึ่งนำเข้าประมาณ 65,729 ตัน และบริษัท Davao San Ei Trading Inc. นำเข้าประมาณ 64,636 ตัน
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
อินเดีย
ภาวะราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาค่อนข้างทรงตัวเนื่องจากผู้ซื้อชะลอการซื้อข้าวเพราะเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาได้นำเข้าข้าวจำนวนมากแล้วทำให้ยังคงมีสต็อกข้าวเพียงพอ โดยข้าวนึ่ง 5% ราคาอยู่ที่ตันละ 376-382 ดอลลาร์สหรัฐฯเท่ากับเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่มีรายงานว่า พื้นที่เพาะปลูกข้าวทางภาคใต้ของประเทศและแถบชายฝั่งตอนใต้
ได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนักจนสร้างความเสียหายให้แก่ผลผลิตข้าวบางส่วนขณะเดียวกันก็ทำให้
การเก็บเกี่ยวข้าวต้องล่าช้าออกไปและอาจจะทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อยกว่าปกติ
สำนักงานสถิติการค้า (the Directorate General of Commercial Intelligence and Statistics; DGCIS) รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2563อินเดียส่งออกข้าวประมาณ 1.284 ล้านตัน (ประกอบด้วยข้าวบาสมาติ 353,763 ตันและข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ930,027 ตัน) เพิ่มขึ้นร้อยละ87 เมื่อเทียบกับจำนวน 649,253 ตันเมื่อช่วงเดียวกันของ
ปีที่ผ่านมา แต่ลดลงร้อยละ12 เมื่อเทียบกับจำนวน 1.467 ล้านตัน (ประกอบด้วยข้าวบาสมาติ 396,178 ตัน และข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ1.07 ล้านตัน) ที่ส่งออกได้ในเดือนกรกฎาคม 2563ส่วนมูลค่าส่งออกในเดือนสิงหาคม 2563อยู่ที่ประมาณ 662.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประกอบด้วยข้าวบาสมาติ310 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ352.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
สำหรับในช่วง 5 เดือนแรก (เมษายน-สิงหาคม 2563) ของปีงบประมาณ 2563/64 (เมษายน 2563-มีนาคม2564)อินเดียส่งออกข้าวประมาณ 5.98 ล้านตัน (ประกอบด้วยข้าวบาสมาติ2.03 ล้านตัน และข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ
3.94 ล้านตัน) เพิ่มขึ้นร้อยละ57 เมื่อเทียบกับจำนวน 3.81 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ประกอบด้วย
ข้าวบาสมาติ1.67 ล้านตัน และข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ2.14 ล้านตัน) โดยข้าวบาสมาติส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ22
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติเพิ่มขึ้นร้อยละ84 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีที่ผ่านมา ขณะที่มูลค่าส่งออกในช่วง 5 เดือนแรกอยู่ที่ประมาณ 3.344 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประกอบด้วยข้าวบาสมาติ1.809 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ1.535 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
ทั้งนี้การส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติเพิ่มขึ้นจากการที่ความต้องการข้าวจากต่างประเทศมีมากขึ้นขณะที่ราคาข้าวของอินเดียต่ำกว่าประเทศคู่แข่งมาก
ด้านกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า การส่งออกข้าวของอินเดียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว
แม้จะมีการหยุดชะงักไปบ้างในช่วงเดือนเมษายน 2563จากภาวะการระบาดของเชื้อ COVID-19 จนรัฐบาลต้องออกมาตรการ Lockdown ทั่วประเทศ โดยคาดว่าอินเดียจะยังคงเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ30 ของการค้าข้าวทั้งโลก ซึ่งตลอดทั้งปี 2563คาดว่าอินเดียจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 12.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ25 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากอินเดียมีสต็อกข้าวเพียงพอจึงไม่มีข้อจำกัดในการส่งออกในปีนี้
ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ส่งออกรายอื่น
สำหรับปี 2564คาดว่าอินเดียจะมีผลผลิตข้าวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับประมาณ 120 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นของผลผลิตข้าวเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยขณะนี้อยู่ในช่วงการเก็บเกี่ยวข้าวในฤดูหลัก Krarif crop และคาดว่าจะได้ผลผลิตที่ดีเนื่องจากในปี 2563 อินเดียมีฝนตกในระดับที่ดีเยี่ยมในพื้นที่แคว้นต่างๆที่เป็นแหล่งปลูกข้าว ทั้งนี้รัฐบาลอินเดียคาดว่าจะจัดหาข้าวได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การบริโภคในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป
ถึงแม้ว่าความต้องการข้าวในประเทศจะยังคงมีเพิ่มขึ้น แต่การส่งออกข้าวในปี 2564คาดว่าจะปรับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ระดับประมาณ 12.5 ล้านตัน เนื่องจากอุปทานข้าวที่มีเพียงพอ ทำให้ข้าวอินเดียยังคงสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.55 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.49 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.80 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.94 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.93 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.17
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.85 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 9.13 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.07 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.91 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.19 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.42
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 291.40 ดอลลาร์สหรัฐ (9,022 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 301.25 ดอลลาร์สหรัฐ (9,307 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.27 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 285 บาท
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ คาดคะเนความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของโลก ปี 2563/64
มีปริมาณ 1,162.60 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 1,131.92 ล้านตัน ในปี 2562/63 ร้อยละ 2.71 โดยสหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป บราซิล เม็กซิโก อินเดีย อียิปต์ เวียดนาม อาร์เจนตินา แคนาดา อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ไนจีเรีย และรัสเซีย มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น สำหรับการค้าของโลกมี 183.41 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 175.15 ล้านตัน ในปี 2562/63 ร้อยละ 4.72 โดยสหรัฐอเมริกา บราซิล ยูเครน เซอร์เบีย ปารากวัย และแคนาดา ส่งออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้นำเข้า เช่น สหภาพยุโรป เม็กซิโก เกาหลีใต้ อียิปต์ อิหร่าน โคลอมเบีย แอลจีเรีย ไต้หวัน เปรู ซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย โมร็อกโก ชิลี อิสราเอล บราซิล โดมินิกัน กัวเตมาลา และตูนิเซีย มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนธันวาคม 2563 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 409.12 เซนต์ (5,056 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 395.04 เซนต์ (4,871 บาท/ตัน)ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.56 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 185 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2564 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.86 ล้านไร่ ผลผลิต 28.980 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.27 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.70 ล้านไร่ ผลผลิต 27.347 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.14 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.82 ร้อยละ 5.97 และร้อยละ 4.07 ตามลำดับ โดยเดือนตุลาคม 2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.41 ล้านตัน (ร้อยละ 4.85 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2564 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2564 ปริมาณ 18.49 ล้านตัน (ร้อยละ 63.79 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงต้นฤดูการเก็บเกี่ยว หัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา สำหรับโรงงานแป้งมันสำปะหลังส่วนใหญ่เปิดดำเนินการ แต่ลานมันเส้นส่วนใหญ่หยุดดำเนินการเนื่องจากมีฝนตก
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.73 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 1.69 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.37
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.49 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 5.38 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.04
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.14 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.12 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.28
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 13.05 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 250 ดอลลาร์สหรัฐฯ (7,740 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (7,724 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 443 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,715 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (13,687 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2563 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนตุลาคมจะมีประมาณ 1.142 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.206 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.194 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.215 ล้านตัน ของเดือนกันยายน คิดเป็นร้อยละ 4.36 และร้อยละ 4.19 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 5.17 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 4.72 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 9.53
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 31.75 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 28.38 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 11.87
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
อินเดียนำเข้าน้ำมันปาล์มในเดือนกันยายนลดลงร้อยละ 27 เนื่องจากความต้องการจากธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารลดลง อาจส่งผลกระทบถึงราคาน้ำมันปาล์ม ขณะที่น้ำมันถั่วเหลืองมีการซื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากความต้องการในภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มมาเลเซียสูงขึ้นร้อยละ 3 จากปัจจัยบวกเรื่องสภาพอากาศ และปัจจัยลบด้านการขาดแคลนแรงงาน ราคาอ้างอิง เดือนมกราคม ณ ตลาดเบอร์ซามาเลเซีย สูงขึ้นร้อยละ 0.4 อยู่ที่ 2,955 ริงกิต
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,952.54 ดอลลาร์มาเลเซีย (22.55 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 3,026.80 ดอลลาร์มาเลเซีย (23.07 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.45
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 752.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23.61 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 769.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (24.09 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.21
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
ไม่มีรายงาน
- สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ
สมาคมโรงงานน้ำตาลของอินเดีย (ISMA) รายงานว่า เพียง ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 ฤดูการผลิตปี 2562/2563 อินเดียผลิตน้ำตาลได้ 27.42 ล้านตัน ลดลงจาก 33.16 ล้านตัน ของปี 2561/2562 ร้อยละ 17.31 โดยปีนี้ส่งออกน้ำตาลไปแล้ว 7.36 ล้านตัน แยกเป็นน้ำตาลทรายดิบ จำนวน 2.62 ล้านตัน น้ำตาลทรายขาว จำนวน 2.68 ล้านตัน และน้ำตาลรีไฟน์ จำนวน 2.06 ล้านตัน ประเทศส่งออกที่สำคัญได้แก่ อิหร่าน โซมาเลีย อินโดนีเซีย ศรีลังกา มาเลเซีย บังกลาเทศ และอัฟกานิสถาน
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,062.76 เซนต์ (12.26 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,052.28 เซนต์ (12.11 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.00
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 374.76 ดอลลาร์สหรัฐฯ (11.76 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 361.76 ดอลลาร์สหรัฐฯ (11.33 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.59
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 33.14 เซนต์ (22.93 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 33.58 เซนต์ (23.18 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.31
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,062.76 เซนต์ (12.26 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,052.28 เซนต์ (12.11 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.00
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 374.76 ดอลลาร์สหรัฐฯ (11.76 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 361.76 ดอลลาร์สหรัฐฯ (11.33 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.59
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 33.14 เซนต์ (22.93 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 33.58 เซนต์ (23.18 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.31
ยางพารา
สับปะรด
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 20.12 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 22.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.55
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 37.00 บาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,068.00 ดอลลาร์สหรัฐ (33.05 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,069.25 ดอลลาร์สหรัฐ (33.03 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.12 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 872.40 ดอลลาร์สหรัฐ (27.00 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 873.25 ดอลลาร์สหรัฐ (26.98 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.10 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,263.60 ดอลลาร์สหรัฐ (39.11 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,264.75 ดอลลาร์สหรัฐ (39.07 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.09 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 612.20 ดอลลาร์สหรัฐ (18.95 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 612.75 ดอลลาร์สหรัฐ (18.93 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ0.08 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,224.60 ดอลลาร์สหรัฐ (37.90 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,225.50 ดอลลาร์สหรัฐ (37.86 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.07 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 47.46 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 44.23 บาทของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.30
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสดสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.08 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 27.38 บาทของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.56
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 56.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนธันวาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 71.02 เซนต์(กิโลกรัมละ 49.15 บาท) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 68.54 เซนต์ (กิโลกรัม 47.32 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.62 (สูงขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 1.83 บาท)
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,933 บาท ลดลงจาก 1,887 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 2.38 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,933 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,548 บาท สูงขึ้นจาก 1,480 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 4.39 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,548 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 950 บาท สูงขึ้นจาก 930 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 2.15 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 950 บาท ส่วนภาคเหนือภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัว เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการบริโภคเนื้อสุกรใกล้เคียงกับปริมาณผลผลิตสุกรที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย เพราะใกล้สิ้นสุดเทศกาลถือศีลกินเจ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 77.83 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 77.77 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.08 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 73.52 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 72.34 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 79.86 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 78.40 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,800 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 76.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 78.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.55
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณไก่เนื้อและชิ้นส่วนต่างๆ ของไก่เนื้อออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการบริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย เพราะใกล้สิ้นสุดเทศกาลถือศีลกินเจ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 34.06 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 34.11 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.14 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท กิโลกรัม ภาคกลาง กิโลกรัมละ 33.07 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.43 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 7.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้เทียบเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการบริโภค แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย เพราะใกล้สิ้นสุดเทศกาลถือศีลกินเจ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 273 บาท เทียบเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 285 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 285 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 270 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 305 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 341 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 343 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.58 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 357 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 351 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 320 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 340 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 390 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 95.91 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 95.66 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.26 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.83 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 99.32 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 90.14 บาท และภาคใต้ 102.86 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 78.58 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 78.11 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.60 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.65 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 76.26 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 16 – 22 ตุลาคม 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 84.14 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 84.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.36 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 135.77 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 134.17 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 133.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.17 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 69.20 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 83.15 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 13.95 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.24 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 16 – 22 ตุลาคม 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 84.14 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 84.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.36 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 135.77 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 134.17 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 133.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.17 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 69.20 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 83.15 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 13.95 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.24 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา